คิดมานานมาก ว่าจะเขียนบล๊อกเกี่ยวกับ IT ลงที่ไหนดี สุดท้ายตัดสินใจเขียนมันที่นี่แหละครับ ขี้เกียจเปิดหลายที่
จริงๆ มีบล๊อกส่วนตัวอยู่อีกที่ แต่ยังไม่ได้ทำอะไรกับมันมาก คิดว่าบล๊อกนั้นคงจะปล่อยใ้ห้เป็นเรื่องเกี่ยวกับ Management, Marketing, Business ไป จะได้ไม่มาปนกับที่นี่
อ่ะ เริ่มเรื่องเลยก็แล้วกันครับ ในซีรีส์นี้ผมอยากเขียนเกี่ยวกับ Trend ของทาง IT ในปี 2010 ในความคิดของผม ที่มันจะอิงกับเมืองไทยพอสมควร เพราะเราก็ต้องยอมรับว่าหลายๆ เรื่องในบ้านเรายังตามต่างประเทศเค้าอยู่มาก และเตือนไว้ก่อนว่าเรื่องที่ผมเขียนคงไม่ได้กว้างขวางอะไรนัก แค่เอาเรื่องในวงการ ในสายอาชีพที่ผมทำมาเขียนก็เท่านั้นครับ
สำหรับตอนแรกที่อยากพูดถึงนี่ก็คือเรื่องของ 10Gb Ethernet ครับ ที่หลายๆ องค์กรน่าจะวางแผนในการเปลี่ยนแปลง Infrastructure ของระบบเครือข่ายให้กลายเป็น 10Gb แทน จริงๆ เทรนด์นี้ในต่างประเทศมีมาได้ระยะนึงแล้ว แต่ในไทยเหมือนยังเงียบๆ มีเปลี่ยนบ้างแค่บางที่ จุดนึงก็คงเป็นเรื่องของการขายนั่นแหละครับ ที่มันลากยาวมาจากระบบการจัดซื้อและอื่นๆ อีกมากมายในองค์กรต่างๆ ทำให้ 10Gb มันไม่เกิดซักกะที (เรื่องของการเมืองภายใน, ผลประโยชน์, เงิน อย่าไปสนใจเลยครับ เรื่องมันยาว ผมขี้เกียจเล่า)
แต่พอมมาถึงปี 2010 นี้ เนื่องจากมันลงท้ายด้วยเลข 10 คนเลยจะนิยมใช้ 10Gb กัน เอ้ย! ไม่ใช่! จริงๆ แล้วผมว่ามันเริ่มเกิดมาจากความนิยมในการใช้ Storage และ Virtualization มากกว่า ที่จะต้องอิงกับ Resource ทาง Network เยอะขึ้น ที่อะไรต่อมิอะไรในห้อง Server ก็เริ่มมีจำนวนเยอะๆ ผู้ใช้งานก็เริ่มใช้งานกันหนักขึ้น ไม่ว่าจะเป็น File Sharing, VoIP, Video Conf, Backup, etc. ทั้งหมดนี้เคยถูกแก้ไขไหวด้วยการทำ Bandwidth Management ไม่ว่าจะเป็นการทำ Shaping, Policing, Proxy แต่ตัวที่นิยมสุดที่เห็นจะขาดกันไม่ได้ (ตอนล๊อคเสป็ค 555 เซ็งจริงๆ) คือ Quality of Service หรือที่เรียกกันสั้นๆ ว่า QoS นั่นเอง
เ่ล่าคร่าวๆ ว่า QoS คือการให้อุปกรณ์เน็ตเวิร์คอ่าน Packet ต่างๆ แล้วทำการ Classify ว่ามันมีระดับความสำคัญมากน้อยแค่ไหน แล้วจึงส่งมันไปในท่อสำหรับระดับนั้นๆ เพื่อ Guarantee ว่าจะได้ Bandwidth เท่านั้นเท่านี้ หรืออื่นๆ ตามแต่จะกำหนดครับ
คราวนี้พอเอาพวก BW Management มาช่วยแล้วเนี่ย สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ มีอะไรต่อมิอะไรก็ไม่รู้ยุบยั่บไปหมด ซื้อนู่นนี่นั่นเข้ามาใช้กันเพียบ สุดท้ายพอ Deploy ระบบใหม่ เพื่อให้บริการใหม่ๆ กับผู้ใช้งาน ก็ต้องมาตามแก้กันให้ปวดหัวเล่นๆ
จริงๆ ถ้าแก้ปัญหาพวกนี้โดยการเปลี่ยน IT Infrastructure ในส่วนของ Switch ให้เป็น 10GbE แต่แรกก็หมดเรื่องแล้วครับ ให้ Internal Network เป็น 10GbE วิ่งคุยกัน แล้วให้ User ได้สัญญาณระดับ 1Gb ไป ซึ่งถึงแม้มันจะแพงกว่าการลงทุนเ็ป็น Switch 1Gb + 10/100Mb แต่สุดท้ายคนที่ได้ประโยชน์เต็มๆ คือองค์กรครับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเอกชน ที่ไม่ต้องเปลี่ยนอุปกรณ์ใหม่บ่อยๆ ไม่ต้องจัดซื้อนู่นนี่นั่นมาแก้ปัญหาคอขวด แถมยังไม่ต้อง Manage อีก เหมือนซื้อรถบรรทุกมาขนของมันแต่แรกเลย แทนที่จะพยายามเอาของยัดลงในรถเก๋งให้หมด
แล้ว 10GbE เดี๋ยวนี้ราคาก็ถือว่าคุ้มมากแล้วล่ะครับ เมื่อเทียบ Price/Performance ยังไงเวลานี้ 10GbE ก็คุ้มกว่า 1 GbE เพราะจะได้เอาเงินส่วนที่ไม่ต้องไปแก้ปัญหาไปซื้ออย่างอื่นมาพัฒนาองค์กรได้ครับ
“ลองคิดดูว่าระหว่างการที่คุณเป็น IT Manager ที่เสนอแต่โครงการจัดซื้อของมาแก้ไขปัญหา กับจัดซื้อของมาพัฒนาองค์กร อันไหนดูดีกว่ากันล่ะครับ? ”
คราวนี้ก็จะมีประเด็นว่า แล้ว Internet Access ออกภายนอกล่ะ ที่มันยังได้ความเร็วแค่ระดับ 10Mb หรือ 100Mb กันอยู่ มันจำเป็นถึงขนาดต้องใช้เน็ตเวิร์ค 10GbE เลยเหรอ?
คำตอบก็คือว่า คำถามนี้มันไม่เกี่ยวกับความเร็วของ Internal Network ครับ เพราะประเด็นของ 10GbE คือเอามารองรับการใช้งานภายใน ไม่ได้เกี่ยวกับออกเน็ตนอกประการใด ถ้าจะค้านการเปลี่ยนแปลงไปใช้ 10GbE ด้วยคำถามนี้ล่ะก็ มันไม่เกี่ยวกันครับ
รวมถึงลองคิดว่าถ้าองค์กรคุณใช้ Wireless 802.11n ที่มีความเร็ว 300Mbps เนี่ย ถ้าเน็ตเก่าเป็นแค่ Switch 1Gb แปลว่ามันรับ User ได้ 3+1/3 คนที่ใช้ความเร็วเต็มพิกัดเองนะครับ ถึงจะบอกว่ายังไงทุกคนก็ไม่ได้ใช้ความเร็วเต็มพิกัดตลอดเวลาก็เถอะ แต่มันแปลว่าคุณซื้อ Wireless n มาไม่คุ้มค่า และถ้าคิดแบบนี้ จริงๆ ซื้อ b/g มาใช้ ก็ถูกกว่าครับ แต่ถามว่า n มันดีกว่ามั้ย ก็ต้องดีกว่าอยู่แล้วครับ แค่มันดีไม่สุดเท่าที่มันจะดีได้แค่นั้นเอง
ดังนั้นจริงๆ ถ้าอยากให้เทคโนโลยีแต่ละตัวมันแสดงผลได้อย่างมีประสิทธิภาพเต็มที่เนี่ย ผมแนะนำว่าควรไล่ปรับปรุึงจากพื้นฐาน Infrastructure ไป จะมีผลดีต่อองค์กรที่สุดครับ
ส่วนเวลาจะเลือกซื้อเนี่ย พวกเทคโนโลยี 10GbE มันจะมีข้อที่เราต้องดู ต้องเลือกอยู่ดังนี้ครับ
1. Switch ควรจะทำงานได้แบบ Line Rate ครับ ซึ่งคำว่า Line Rate นี้เนี่ย มันหมายถึงว่า ทำงานได้เต็มพลังที่ทุกพอร์ตทุกช่อง ทั้งขาเข้าและขาออกครับ เวลาซื้อก็ควรจะซื้อ Switch ที่สามารถทำ Line Rate ได้จริงๆ ไม่ว่าจะเติม Line Card เข้าไปเท่าไหร่ หรือถ้าไม่ได้เป็น Chassis ก็ควรจะ Line Rate ได้ในตัวเองครับ ไม่งั้นใช้ๆ ไปก็คอขวดกันอีก
2. ที่เหลือๆ ก็เหมือนกับการซื้อ Switch ทั่วๆ ไปครับ แต่ประเด็นของการทำ QoS เนี่ย อาจจะลดไปได้พอสมควร เหลือแค่เท่าที่จะใช้กับพวก WAN Link ก็พอครับ (QoS ท่าพิสดารบางท่า ระหว่างมีกับไม่มี ทำให้ราคาต่างกันพอสมควรโดยเกินความจำเป็นครับ)
3. ถ้าคิดว่าจะซื้อยาวใช้ซัก 10 ปีเนี่ย ดูด้วยครับว่ามันรองรับเทคโนโลยี 40Gb / 100Gb ไหวรึเปล่า เผื่อมันมาเร็วจะได้ใช้เร็ว ไม่ต้องไปเสียเวลาซื้อเพิ่มเยอะครับ เพราะถึงตอนนั้นก็คงต้องมี Replace กันบ้างแหละ แต่จะได้ไม่ต้องเปลี่ยนหมดไงครับ
4. แต่ถ้าจะใช้ใน Server Zone และไม่อยากซื้อ Line Card เยอะ แนะนำให้มองหาตัวที่เป็น Modular Switch ที่มีแต่พอร์ต 10Gb ครับ มีบางรุ่นที่มันมีพอร์ต 10Gb ล้วนๆ ให้คุณใช้ จะได้ไม่ไปเปลือง Core Switch เพราะจริงๆ Core ก็คงอยากเก็บช่องเสียบ Line Card ไว้ทำอย่างอื่นใช่มั้ยล่ะครับ จะได้แบ่งมาเสียบที่ Modular Switch แทน เหมาะกับ Data Center ดีครับ ประหยัดพอร์ตบน Line Card ด้วย
เอ เขียนไปเขียนมาผมว่าเนื้อหามันหนักกับคนที่ไม่ใ่ช่สายคอมเหมือนกันนะเนี่ย เขียนเพลินไปหน่อย ยังไงก็หวังว่าจะมีประโยชน์บ้างนะครับกับการเขียนครั้งนี้ ถ้ามีข้อถกเถียงโต้แย้งอะไรก็ยินดีรับฟังครับผม เพราะนี่ก็เป็นแค่ความคิดเห็นส่วนตัวที่เรียบเรียงมาจากอะไรที่เห็นๆ ทั้งนั้นครับ ได้แชร์กันหลายคนจะได้มองอะไรได้กว้างขึ้นครับผม
สำหรับครั้งนี้ก็สวัสดีครับ
ป.ล. 10GbE ไม่ได้เกี่ยวข้องกับ 3G แต่ประการใดนะครับ – -
1 ความคิดเห็น:
Thanks for sharing your thoughts about ds3. Regards
my site; fast ethernet ()
แสดงความคิดเห็น